วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

PLC (Professional learning community)





พัฒนาการของครูและการสอน
  1. ครูยุคก่อนมีระบบโรงเรียน เช่น พระ ฤๅษี เป็นครูที่มีอำนาจ  อยู่เหนือศิษย์ ด้วยความเชื่อและศรัทธา  เน้นการสอน  ท่องจำ และ ฝึกฝน
  2. ครูในยุคเริ่มต้นของระบบโรงเรียน  ครูก็พัฒนามาเป็น ครูผู้สอน  ในยุคนี้ครูจะมีความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริงทีเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น  ครูเลยต้องการถ่ายทอดด้วยการสอนวัดความสำเร็จของผู้เรียนจากปริมาณความรู้ที่จำได้
  3. ปัจจุบันเราพยายามพัฒนาครูให้เป็น ผู้อำนวยการเรียนรู้ หรือ Coaching ด้วยความรู้ที่ค้นพบใหม่เกิดขึ้นอย่างมหาศาล   ครูจึงมีหน้าที่อำนวยให้มีกิจกรรมที่นักเรียนมีส่วนร่วม ซึ่งจะทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจมากกว่าการรู้  ความรู้ทดสอบได้ด้วยการนำข้อสอบมาให้ทำ แต่ความเข้าใจทดสอบได้ด้วยการให้แก้ปัญหาหรือโจทย์ปัญหาที่หลากหลาย ในยุคนี้จะมีความรู้มากมายมหาศาล ซึ่งหมายความว่าความรู้ทั้งหมดไม่สามารถบรรจุอยู่ในตัวครูได้  ความรู้ที่มหาศาลจะถูกรวมไว้ที่ศูนย์กลางเราสามารถค้นหาหรือ Search  ที่อยากรู้ได้ทันที ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่มีข้อมูลและคลิปวิดีโอในรูปแบบต่างๆ ให้ค้นหาได้อย่างหลากหลาย แม้แต่เรื่องที่ยากที่สุดเช่นแคลคูลัสที่เคยใช้เวลาเรียนมากกว่า 3 ปีจึงจะเข้าใจจริงๆ แต่ในปัจจุบันสามารถค้นหาคลิปวิดีโอและโมเดลที่สร้างความเข้าใจได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง
  4. ในอนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้า  อินเทอร์เน็ตจะมีความเร็วสูงยิ่งยวด  โลกจะมี Big Data ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกรูปแบบได้อย่างฉับพลัน และซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการเรียนรู้จะพัฒนาอย่างสมบูรณ์  โลกจะมี OS ที่สมบูรณ์ที่จะช่วยในคนแต่ละคนสร้างการเรียนรู้เฉพาะตนได้อย่างรวดเร็วและตลอดเวลา ครูผู้อำนวยการเรียนรู้จะมีความจำเป็นน้อยลง  เพราะ OS ที่สมบูรณ์จะจัดการให้แทน เสมือนมีผู้จัดการประจำตัวที่มีประสิทธิภาพสูง  ครูจะจำเป็นตรงที่ให้การเรียนรู้เพื่อบ่มเพาะความเป็นมนุษย์ การรับรู้ความรู้สึก หรือจิตวิญญาณ การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น การเข้าใจตนเอง  ซึ่งเป็นสิ่งที่ซอฟต์แวร์ทำไม่ได้  ครูจึงจำเป็นที่จะวิวัฒน์จากครูโค้ชเป็น “ครูกัลยาณมิตร”(Mentor)เป็นผู้ประคับประคอง เป็นเพื่อน  เป็นแบบอย่างของความเป็นมนุษย์  เพื่อให้เข้าใจชีวิตและใช้ชีวิตอย่างที่มนุษย์ควรเป็นไป

พัฒนาการของการพัฒนาครู
ครูที่มีคุณภาพคือกุญแจสำคัญของการสร้างการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ครูที่มีคุณภาพนั้นมีองค์ประกอบและปัจจัยหลายอย่างและด้านคุณภาพชีวิตส่วนตัวก็เป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่จะส่งผลต่อคุณภาพครู   แต่หากจะมองให้แคบลง โดยดูเฉพาะองค์ประกอบเกี่ยวกับหน้าที่ของความเป็นครู  
 ครูส่วนหนึ่งก็มักจะประสบปัญหาที่ก้าวไปไม่ถึงครูคุณภาพ Performance จากสภาพสองอย่างนี้คือ  ความไม่เข้าใจต่อเนื้อหาที่จะสอน (Content) และ ความไม่มีทักษะการสอนหรือการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน (Pedagogy) อันจะส่งผลให้ครูรู้สึกว่าตนเองทำหน้าที่ไม่สำเร็จ ทำได้เพียงแค่เสร็จๆ ไปวันๆ  ความภาคภูมิใจ ความรู้สึกมีคุณค่าต่อวิชาชีพ หรือความปีติจึงไม่เกิดขึ้น 
กรอบคิดและวิธีการพัฒนาครูของระบบการศึกษาจากอดีตถึงปัจจุบัน
  1. ช่วงเริ่มต้นเราเคยเชื่อว่าการให้การศึกษาแก่ครูจะทำให้ครูมีคุณภาพขึ้นตั้งแต่สามสิบปีเป็นต้นมาแล้วที่ระบบส่งเสริมและผลักดันให้ครูเรียนเพื่อได้วุฒิที่สูงขึ้น  ฝ่ายผลิตเองก็ทำแทบไม่ทัน จนเกิดโปรโมชั่นประเภทจ่ายครบจบแน่  เมื่อสามสิบปีก่อนมีครูเพียงหยิบมือที่จบปริญญาตรี แต่ปัจจุบันครูที่จบปริญญาตรีจะกลายเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่จะจบสูงกว่าปริญญาตรี  แต่กลับหันไปมองด้านคุณภาพการศึกษาคุณภาพผู้เรียนโดยรวมก็ยังต่ำกว่าระดับที่จะไปแข่งขันกับชาติอื่นได้
  2. ตั้งแต่ตั้งกระทรวงทางการศึกษาขึ้นมา ได้ให้การเรียนกับครู โดยการจัดอบรมแทบจะเรียกได้ว่างบประมาณของกระทรวงที่เกี่ยวกับการพัฒนาครูแทบทั้งหมดใช้เพื่อจัดอบรม  ส่วนใหญ่ในการจัดอบรมก็เป็น Hotel based งบประมาณการอบรมส่วนใหญ่จึงเป็นสำหรับโรงแรมและค่าเดินทาง สิ่งที่ครูได้จากการอบรมก็จะเป็นเพียงความรู้อันน้อยนิด  แต่ไม่ได้ทักษะสำหรับการเรียนรู้มากนัก  ครูจึงนำสู่การปฏิบัติได้น้อยมาก  แต่กระนั้นก็ยังหลับหูหลับตาทำกันเรื่อยมาจนปัจจุบัน ซ้ำร้ายการจัดอบรมมักจะระดมทำกันช่วงจะสิ้นปีงบประมาณ(สิงหาคม-กันยายน) นั่นคือช่วงกลางภาคเรียน ที่ทำให้ครูต้องทิ้งชั้นเรียนซึ่งเสียโอกาสสำหรับเด็กเป็นอย่างมาก  
  3. การเสริมแรงครูReward ระบบต้องการกระตุ้นให้ครูกระตือรือร้นในการพัฒนาการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง  แต่ระบบความดีความชอบปีละสองครั้งก็ทำให้ครูทะเลาะกันปีละสองครั้ง  เกิดการแย่งชิง บาดหมางจนไม่อาจร่วมมือกันหรือเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างแท้จริง  หรือ การเพิ่มวิทยฐานะครูก็เช่นกันไม่ได้สร้างครูที่มีคุณภาพอย่างแท้จริงขึ้นมา วันก่อนได้รับวิทยฐานะกับวันหลังที่ได้พฤติการณ์หรือความสามารถในการจัดการเรียนรู้ไม่ได้แตกต่างมากมายอะไรเลย  คุณภาพผู้เรียนในชั้นนั้นๆ ก็ไม่ดีขึ้นอย่างชัดเจน  ที่เป็นอย่างนั้นเพราะระบบ Reward ไม่ใช่ระบบที่สร้างการเรียนรู้ให้ครูอย่างแท้จริงและระบบ Reward เป็นการอาศัยเครื่องมือจากภายนอก  ครูไม่ได้เกิดแรงบันดาลใจจากภายในที่จะพัฒนาตนเองหรือพัฒนาการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
  4. การสร้างระบบให้ครูได้การเรียนรู้ร่วมกันหรือการสร้างชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC)เป็นแนวทางใหม่ที่จะพัฒนาครูให้มีคุณภาพด้วยการสร้างพลังการเรียนรู้ร่วมกัน
PLC  จะช่วยยกระดับความรู้ความเข้าใจของครูแต่ละคน  ทั้งมิติความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่จะสอน  และ ความรู้ความเข้าใจต่อการสอน เช่น  หลักสูตร  จิตวิทยาการสอน การออกแบบกิจกรรม  การวัดและประเมินผล  เป็นต้น
PLC  ช่วยยกระดับทักษะของครูแต่ละคน  เช่น ทักษะการออกแบบการเรียนรู้  ทักษะการสื่อสาร  ทักษะ ICT ทักษะการวัดและประเมินผล ตลอดจนทักษะชีวิต เช่น  ทักษะการจัดการความขัดแย้ง   ทักษะการจัดการอารมณ์  ทักษะการอยู่ร่วมกัน เป็นต้น
PLC  ช่วยให้ครูแต่ละคนค้นพบความหมายของชีวิต  ความหมายของการเป็นครู  รู้สึกถึงคุณค่าของงานครู  เห็นเป้าหมายที่สำคัญร่วมกัน เป็นบุคคลและองค์กรการเรียนรู้  ทำงานเป็นทีม  มีความเป็นกัลยาณมิตรนั่นคือถึงความมีอุดมการณ์นั่นเอง 
กระบวนการ PLC
  1. การเตรียมองค์กร  
เตรียมสภาพแวดล้อมให้สะอาด ร่มรื่น ปลอดภัย และ สัปปายะ 
  1. ก่อรูปวัฒนธรรมองค์กรใหม่
การร่วมกันกำหนดเป้าหมายองค์กรและข้อตกลงเบื้องต้น  การออกแบบกิจกรรมเพื่อลดลำดับชั้นให้น้อยลงเป็นองค์กรระดับราบมากขึ้น  และสร้างกลไกให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่เสมอ ทั้งเป็นกลไกที่ดึงดูดผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาอยู่ในกระบวนการด้วย  เช่น การกำหนดช่วงเวลา สถานที่  หัวข้อ  ผู้เข้าร่วม และผู้นำวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในแต่ละครั้ง  ซึ่งผู้นำหรือผู้บริหารเป็นองค์ประกอบสำคัญมากในขั้นตอนนี้
  1. กิจกรรม PLC เช่น
  • Dialogue หรือ กระบวนการสุนทรียะสนทนาเพื่อเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้กันและกัน  ด้วยการคุยกันในระดับราบ เน้นการฟังอย่างรู้เท่าทันจิตใจของตนเอง เพื่อการขจัดการตัดสินที่เกิดขึ้นขณะฟัง  การฟังนั้นก็จะเต็มไปด้วยความกรุณาต่อกันทุกคนจะมีโอกาสรับเนื้อความได้อย่างครบถ้วนทั้งมิติและเนื้อหา  ตัวอย่างหัวข้อคำถามเพื่อ Dialogue เช่น ห้าปีที่แล้วเราเห็นองค์กรเราเป็นอย่างไร  อีกห้าปีข้างหน้าเราอยากเห็นองค์กรเราเป็นอย่างไร  อะไรที่หล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนแบบนี้  เราอยู่ตรงไหนของจักรวาล  เราเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างไร  เป็นต้น  
  • S&L (Share & Learn) แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์ความสำเร็จหรือความล้มเหลวจากหน้างานของกันและกัน  เน้นอภิปรายร่วมกันอย่างสร้างสรรค์โดยมีเจตจำนงที่ดีต่อการทำให้งานพัฒนาขึ้นหรือเด็กๆ ได้รับการพัฒนาขึ้น  อาจทำเป็นคู่  เป็นกลุ่มย่อย และ เป็นกลุ่มใหญ่ทั้งองค์กร  ตัวอย่างหัวข้อคำถามเพื่อ S&L เช่น  อะไรคือปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการพัฒนา ทำอะไรบ้าง  ทำอย่างไร  ผลเป็นอย่างไร อะไรที่ยืนยันว่าเราได้พบผลเช่นนั้น  เราสามารถทำอะไรต่อได้บ้าง เป็นต้น
  • AAR (After Action Review) เป็นการร่วมกันอภิปรายสรุปในแต่ละแง่มุมหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมเพื่อทำให้เกิดการใคร่ครวญหรือการทบทวนต่อเรื่องนั้นๆ   ตัวอย่างหัวข้อคำถามเพื่อ AAR เช่น เห็นอะไร รู้สึกหรือคิดอย่างไร  อะไรที่เราได้เรียนรู้  เป็นต้น
  • Lesson Study เป็นกระบวนการร่วมกันพัฒนากิจกรรมการสร้างการเรียนรู้ของกลุ่มครู  ตัวอย่างหัวข้อคำถามเพื่อ Lesson Study  เช่น ทำอย่างไรที่จะให้องค์กร(โรงเรียน)พัฒนาปัญญาภายในให้กับผู้เรียน  กิจกรรมฝึกฝนการรู้ตัวมีอะไรบ้าง ทำอย่างไรบ้างกับเด็กแต่ละวัย   การฝึกให้เด็กได้ใคร่ครวญควรมีกิจกรรมใดบ้าง   การฝึกฝน Dialogue มีกระบวนการอย่างไร  เป็นต้น
      Lesson study จะทำให้ครูได้เรียนรู้การเรียนการสอนเพื่อค้นหาวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ดีกว่าซึ่งวิธีนี้ต้องเกิดขึ้นที่โรงเรียนผ่านกระบวนการวางแผนร่วมกัน  ซึ่งมีกระบวนการดังนี้
1. ค้นหาประเด็นปัญหาที่เป็นอุปสรรคหรือเนื้อหาที่ผู้เรียนเข้าใจยากแล้วครูร่วมกันระดมความคิดเพื่อแยกอะไรคือสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง และอะไรคืออาการที่แสดงออก ให้ชัดเจนครูทุกคนต้องร่วมกันคิด ร่วมกันแลกเปลี่ยน ปัญหาของแต่ละคน ซึ่งปัญหานั้นอาจมาจากทั้งนักเรียนหรือคุณครู และเป็นไปได้ทั้งในนักเรียนกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่หรือทั้งชั้นเรียนขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาที่ครูต้องการพัฒนา ตัวอย่างปัญหาในการสอนคณิตศาสตร์ ตัวอย่างหัวข้อที่ทำ Lesson study เช่น การหา ครน.หรม. ของเศษส่วนในระดับชั้น ป.6 การแก้โจทย์ปัญหาโดยการวาดภาพในชั้น ป.4 การแก้โจทย์ปัญหาร้อยละในชั้น ป.5  เส้นขนานกับ Perspective ในชั้น ม.2 ซึ่งสุดท้ายแล้วเราต้องการให้เข้าใจเนื้อหานั้น และรู้วิธีที่จะสร้างการเรียนรู้สำหรับเนื้อหานั้น
2. ครูร่วมกันวางแผน ออกแบบวิธีการ หรือนวัตกรรม ในกระบวนการนี้จะเป็นการ BAR และ Share and Learn 
3. ตัวแทนคุณครูอาสาที่จะสอนและให้เพื่อนครูเป็นผู้ร่วมสังเกตกระบวนการและผลที่เกิดกับผู้เรียน  หรือ ถ้าเป็นปัญหาเดียวกันของหลายชั้นเรียนครูหลายคนสามารถนำวิธีการหรือนวัตกรรมไปใช้กับนักเรียนชั้นของตนเองแบบคู่ขนาน เพื่อจะให้ได้แง่มุมความสำเร็จหรือไม่สำเร็จเพื่อมาแลกเปลี่ยนกันในขั้นต่อไป
4. Reflection เพื่อสะท้อนอย่างเป็นกัลยาณมิตร ในการสะท้อนเราจะให้ความสำคัญที่ผลที่เกิดกับผู้เรียน ระยะเวลาที่ใช้   ไม่มุ่งเน้นไปที่ตัวครูมุ่งเพื่อพัฒนากระบวนการวิธีการในการจัดกิจกรรมให้ดีขึ้นอีก ขั้นนี้จะทำให้ครูทั้งกลุ่มจะมีความเข้าใจในเนื้อหานั้นและเข้าใจวิธีการการจัดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นอีก



ขั้นตอน PLC
Step1 เตรียมสภาวะจิต ทำให้คนที่ร่วมวงกลับมารู้เนื้อรู้ตัว กลับมาอยู่กับตัวเอง มีสติรู้เท่าทันความรู้สึกทางกาย รู้ทันความคิด และรู้ทันอารมณ์  เช่น การทำสมาธิ การทำกิจกรรมกำกับสติ Brain gym  การทำจิตศึกษา การอ่านบทความสั้นๆ เพื่อการใคร่ครวญ ฯลฯ
Step2(1)  แลกเปลี่ยนเรียนรู้  Share & Learn(SL) ด้วย Dialogue (ผู้ฟังฟังอย่างรู้เท่าทันความคิดเพื่อไม่ให้นำความคิดนั้นมาตัดสินเรื่องที่ฟัง)  ขั้นนี้ควรเริ่มจาก Share ความสำเร็จ เพราะการได้ฟังเรื่องราวความสำเร็จจะทำให้สมาชิกเกิดปีติ อยากเรียนรู้ อยากนำกลับไปใช้ 
หลังจากการสมาชิกในวง SLทำงานมาระยะหนึ่ง เป็นการลงมือทำจริงๆ จนเกิดปัญญาปฎิบัติ  เช่น ทำอะไร ทำอย่างไร(นวัตกรรม)  ทำไมจึงทำอย่างนั้น ความสำเร็จเป็นอย่างไรซึ่งอาจมีชิ้นงานภาระงานมานำเสนอความงอกงามมานำเสนอประกอบด้วย หลังจากนั้นก็ให้สมาชิกได้ Reflection ว่าคิดอะไร รู้สึกอย่างไร ได้เรียนรู้อะไร จะนำไปใช้อย่างไร แล้วบันทึกสิ่งเหล่านี้บันทึกใน Logbook
องค์การที่เริ่มต้นทำ PLC ถ้าสมาชิกในวง SL ยังไม่มีทักษะ Dialogue จำเป็นต้องมี Facilitator ที่เก่ง เพื่อเป็นผู้อำนวยการให้วงแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันที่มคุณภาพ ใส่ตัว Catalyst ที่ดี  กระจายการมีส่วนร่วม หล่อเลี้ยงวง SL ให้มีพลัง ลื่นไหล  แต่เมื่อทำไปสักพัก(หลายๆ ครั้ง)เมื่อสมาชิกมีทักษะ Dialogue แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมี Facilitator ก็ได้ เพราะทุกคนจะประคับประคองวง SL ให้มีการกระจายการมีส่วนร่วม ให้มุ่งไปในทิศทางตามเป้าหมายของ SL ครั้งนั้นๆ ได้
Step2(2) การอภิปราเพื่อแก้ปัญหา ด้วย Creative Discussion  คือมีการถกเถียงกันในประเด็น แต่เป็นการถกเถียงกันอย่างมีสติ อภิปรายกันอย่างสร้างสรรค์ ฟังอย่างเท่าทันความคิด เท่าทันอารมณ์  ไม่ผลีผลามโต้ตอบ 
ขั้นนี้การระบุปัญหาเพื่อการนำมาอภิปรายต้องชัดเจน อาจเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่งดังต่อไปนี้
       SS : System study  เป็นการปรับปรุงระบบงาน การวางแผนประจำปี การออกแบบระบบกิจกรรม
       CS : Case study  ปัญหาของเด็บางคน  เด็ก LD  ปัญหาพฤติกรรม ปัญหาความเป็นอยู่ของเด็ก ฯลฯ
       LS : Lesson study นำเนื้อหาที่ผู้เรียนเข้าใจยาก นำปัญหาในการเรียนการสอน ในวิชา ในหน่วย ในเนื้อหามาพูดคุยกัน ออกแบบการเรียนการสอนร่วมกัน ปรับปรุงร่วมกัน
Step3 Empower ขอบคุณกันและกัน
หมายเหตุ... หากมีเวลาไม่มากพอ ใน step 2  อาจเลือกทำข้อใดข้อหนึ่งก็ได้

โดย วิเชียร  ไชยบัง โรงเรียนนอกกะลา

บทบาทผู้บริหารในการนำองค์กร